ส่องเทรนด์สาขาวิชามาแรง 3 ประเทศพร้อมแย่งตัวเข้าทำงาน


ส่องเทรนด์สาขาวิชามาแรง 3 ประเทศพร้อมแย่งตัวเข้าทำงาน

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ได้จัดงาน OCS International Education Expo 2022 งานมหกรรมการศึกษาต่อต่างประเทศครั้งที่ 17 ที่รวบรวมสุดยอดสถาบัน/มหาวิทยาลัย และแหล่งทุนการศึกษาจากทั่วโลก จาก 24 ประเทศ ภายใต้แนวคิด REAL ME "find yourself, sharpen your skills" มาร่วม "ค้นหาตัวตนที่ใช่ ไป (เรียนต่อ) ให้ไกลกว่าที่คิด" เมื่อวันที่ 12-13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

โดยภายในงานได้มีการเสวนาหัวข้อเกี่ยวกับเทรนด์สาขามาแรงที่ 3 ประเทศทั้งในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ต้องการตัวผู้ที่เรียนจบในสาขาวิชาเหล่านี้เข้าทำงาน

อังกฤษ 3 สาขากำลังอินเทรนด์

นางสาวอุไรวรรณ สะโมลี หัวหน้าฝ่ายบริการการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร บริติช เคานซิล ประเทศไทยกล่าวว่า
บริติช เคานซิล เป็นองค์กรของอังกฤษที่เชี่ยวชาญด้านโอกาสทางวัฒนธรรมและการศึกษาระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ขณะนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรการเรียนอย่างต่อเนื่อง มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานบริษัทต่าง ๆ ทั้งระดับรัฐบาล และเอกชน

ขณะเดียวกัน โอกาสของคนไทยที่จะได้ไปอยู่ต่างประเทศนั้น ล่าสุดสหราชอาณาจักรเพิ่งประกาศออกวีซ่า Graduate Route Visa หรืออีกชื่อที่เรียกว่า Post Study Work Visa คือวีซ่าที่ทางรัฐบาลอังกฤษออกให้กับนักศึกษานานาชาติผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาที่อังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ สามารถอยู่ต่อและทำงานทั้งรูปแบบเต็มเวลา และ part-time ได้เป็นระยะเวลา 2 ปี

ดังนั้น ผู้ที่ไปเรียนต่อจะมีโอกาสทำงานในสหราชอาณาจักร หากมีสกิลที่เขาต้องการ โดย 3 วิชาที่กำลังอินเทรนด์ และเป็นที่ต้องการในตลาดงานของอังกฤษและประเทศในสหราชอาณาจักรขณะนี้ ได้แก่

ส่องเทรนด์สาขาวิชามาแรง 3 ประเทศพร้อมแย่งตัวเข้าทำงาน

1.Cyber security หรือความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นเรื่องที่ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหา และต้องการผู้เชี่ยวชาญไปสร้างความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ตามองค์กรต่าง ๆ จึงเป็นโอกาสของผู้ที่เรียนจบสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งจากรายงานด้านตลาดงานของอังกฤษระบุว่า ผู้ที่ทำงานด้าน Cyber security ขณะนี้มีประมาณ 43,000 คน อัตราการว่างงานเป็นศูนย์ ส่วนเรตเงินเดือนก็ค่อนข้างสูงมากกว่าสาขาวิชาอื่น ๆ เริ่มที่ £25,000-£35,000 ปอนด์ (ประมาณ 1 ล้านบาทขึ้นไป)

2.ธุรกิจ นักเรียนไทยไปเรียน Business Management ที่อังกฤษจำนวนมาก ถือเป็นสาขายอดนิยมอันดับ 1 ดังนั้น สาขานี้จึงเป็นที่น่าสนใจ โดยการเรียนการสอนจะเน้นผสมผสานเอาเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผนวกใช้ด้วย ฉะนั้น ผู้ใดที่เรียนจบสายธุรกิจและมีความรู้เทคโนโลยีด้วยจะได้เปรียบ

3.Gaming, E-Sport ที่อังกฤษมีคอร์สเรียนด้านนี้ค่อนข้างมาก หลาย ๆ แห่งสอนโดยองค์กรที่ทำงานด้านเกมโดยเฉพาะ อีกทั้งอัตราการว่างงานก็เป็นศูนย์เช่นเดียวกัน เพราะอุตสาหกรรมนี้เติบโตไปทั้งโลก

นางสาวอุไรวรรณกล่าวต่อว่า ตอนนี้รัฐบาลอังกฤษได้เปิดรับสมัครผู้เข้ารับทุนไปศึกษาต่อชื่อทุนว่า Great scholarship ซึ่งประเทศไทยได้โควตาทั้งหมด 16 ทุน มูลค่าราว 4 แสนบาท สำหรับเป็นค่าเล่าเรียนทั้งหมดเพื่อไปเรียนในเดือนกันยายน ปี 2566 เรียนสาขาใดก็ได้ในระยะเวลา 1 ปี สำหรับทุนนี้จะสมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัย หลายแห่งไม่ได้กำหนด GPA แต่ให้เขียนสเตตเมนต์ถึงวัตุประสงค์หลัก หรือความตั้งใจที่จะไปศึกษาต่อ ว่าทำไมถึงสนใจคอร์สที่สมัครเรียน เหมาะสมกับทุนนี้อย่างไร มีกิจกรรมหรืองานหลักอะไรบ้าง

และอีกหนึ่งทุนที่น่าสนใจคือทุน Women in STEM เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เรียนและทำงานด้านสะเต็มมากขึ้น ทุนนี้คาดว่าจะเปิดช่วงปลายเดือนธันวาคม 2565 เป็นทุนเต็มจำนวน เพื่อใช้จ่ายค่าวีซ่า ค่าเดินทาง ค่าเล่าเรียน ค่าอยู่อาศัยต่าง ๆ บางรายมีบุตรก็สามารถนำบุตรไปได้ด้วย เพราะจะมีให้ทุนบุตรอีก คาดว่ารายละเอียดจะออกมาเร็ว ๆ นี้ และยังมีอีกหลายทุนของบริติช เคานซิล

อเมริกา วิชา STEM-STEAM

ด้านนางสาวสิริพัฒน์ ชโยภาส EducationUSA กล่าวว่า การศึกษาในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการรีเสิร์ช หรือค้นหาตัวเองตั้งแต่การเลือกมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมกับตนเอง เพราะมีมหาวิทยาลัยมากกว่า 4,500 แห่ง เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ ตอนนี้ไม่ว่าจะประเทศไหนต่างก็ต้องการคนในสาขา STEM คือวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ทั้งสิ้น ที่สหรัฐอเมริกาต้องการคนด้าน STEM เช่นเดียวกัน แต่ต้องมีความเข้าใจศาสตร์ศิลปะ (Art) ด้วย หรือที่เรียกว่า STEAM

"หากย้อนกลับไปช่วง 10 ปีที่ผ่านมากำลังคนด้านสาขา STEM เป็นที่ต้องการในตลาดงานมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเขาต้องการคนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยี ควบคู่กับศิลปะ เพราะเขาเล็งเห็นว่า ด้วยความเป็นประเทศที่มีการผลิตคิดค้นเทคโลยีใหม่ ๆ เสมอ ดังนั้น สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาจะต้องสามารถสื่อสารกับคนทั่วไปได้อย่างง่าย ต้องมีความคิดด้านการดีไซน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ดังนั้น การเรียนในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่จะเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการข้ามศาสตร์ เพราะเขาเชื่อว่าไม่ควรจะมีความรู้หยุดแค่วิชาใดวิชาหนึ่ง เช่น การนำเอาศาสตร์ด้านดนตรี มาผสานกับชีววิทยา สุดท้ายออกมาเป็นศาสตร์ดนตรีบำบัด เกิดเป็นอาชีพใหม่ได้อีก ดังนั้น เขาจึงเน้นการเกิดขึ้นใหม่ ๆ เน้นการมีประสบการณ์นอกห้องเรียน เป็นต้น

  ทั้งนี้ นางสาวสิริพัฒน์เล่าเพิ่มเติมว่า
สำหรับ 16 สาขา STEM ในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกาที่มาแรงมีดังต่อไปนี้

การวิเคราะห์ (Analytic)
วิศวกรรมอวกาศ (Astronautical Engineering)
วิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering)
วิศวกรรมการออกแบบและการก่อสร้างขั้นสูง (Advanced Design & Construction Engineering)
วิทยาศาสตร์ข้อมูลนโยบายสาธารณะ (Public Policy Data Science)
การบริหารงานก่อสร้าง (Construction Management)
วิทยาศาสตร์ข้อมูลการดูแลสุขภาพ (Healthcare Data Science)
วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineering)
วิศวกรรมการเงิน (Financaial Engineering)
วิทยาศาสตร์ข้อมูลสิ่งแวดล้อม (Envrionmental Data Science)
วิทยาศาสตร์ข้อมูลเชิงลึก (Specail Data Science)
วิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ (Electrical & Computer Engineering)
วิทยาศาสตร์ข้อมูลการสื่อสาร (Communication Data Science)
การจัดการระบบสุขภาพ (Health System Management)
การจัดการระบบขนส่ง (Transportation System Management)
วิทยาศาสตร์ข้อมูลประยุกต์ (Applied Data Science)
ฝรั่งเศส สาขาธุรกิจ


นางสาวพรรณวรินทร์ เข็มพิลา ตัวแทนจากสถานทูตฝรั่งเศส กล่าวว่า ประเทศฝรั่งเศสจะโดดเด่นในอุตสาหกรรมแฟชั่น แหล่งผลิตไวน์ และมีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์จำนวนมาก แต่ที่มาแรงคือการเรียนด้าน Business ยิ่งเฉพาะเป็นนักเรียน นักศึกษาที่มาจากประเทศที่เป็นเป้าหมายที่ทำธุรกิจกับฝรั่งเศสนั้นยิ่งมีโอกาสมาก อย่างประเทศไทยก็มีบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสอยู่มาก ยกตัวอย่างบริษัทนำเข้าไวน์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะโดยส่วนมากฝรั่งเศสเขาต้องการบุคลากรที่เป็นคนท้องถิ่นจากประเทศที่เขามีธุรกิจด้วย เพื่อให้การติดต่อสื่อสารงานเป็นไปได้อย่างง่าย

ทั้งนี้ สำหรับการเรียนในฝรั่งเศส ถึงแม้หลายสถาบันจะมีหลักสูตรที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ผู้ที่ไปเรียนอย่างน้อยจะต้องรู้และเข้าใจภาษาฝรั่งเศสด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจวัฒนธรรม เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะสื่อสารกันด้วยภาษาฝรั่งเศส หากจะไปเรียนจะต้องมีการเรียนคอร์สภาษาระยะสั้น เพื่อให้เข้าใจภาษา ไลฟ์สไตล์ของท้องถิ่น ซึ่งการเรียนในฝรั่งเศสจะแบ่งเป็น 3-5-8 คือ 3 ปีแรก เรียนจบจะได้วุฒิปริญญาตรี ถ้าเรียนต่ออีก 2 ปีจะได้วุฒิปริญญาโท ต่ออีก 3 ปี เป็นด็อกเตอร์ หรือถ้าเรียนจบ ป.ตรีจากประเทศไทยแล้วก็สามารถไปเรียนต่อปริญญาโทที่ฝรั่งเศสได้เลย และต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ เป็นต้น


เครดิตแหล่งข้อมูล : prachachat


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์