จับเทคนิคสอนอ่านออก เขียนได้


จับเทคนิคสอนอ่านออก เขียนได้

เมื่อการสอนต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และต้องสอนให้สอดคล้องกับนโยบายของสพฐ.ที่ยังคงจัดการเรียนการสอนทั้ง online on site และ on hand ตามความเหมาะสม ซึ่งปีนี้ สพฐ.ให้นโยบายในการจัดการเรียนที่เน้นทักษะการอ่านออกเขียนได้ในกลุ่มเด็กประถมศึกษามากขึ้น...

บทความนี้จะนำการสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ด้วยวิธีแจกลูกสะกดคำควบคู่ไปกับเทคนิคเจ๋ง ๆ เพื่อให้ครูภาษาไทยปรับ นำไปปรับใช้สอนได้เหมาะสม เป็นขั้นตอน รับรองว่าเด็ก ๆ จำง่าย เข้าใจเร็วแน่นอนจะมีวิธีไหนบ้างนั้นมาดูกันเลย

#เริ่มต้นที่ทักษะการอ่าน กับบันได 5 ขั้น สู่เป้าหมายให้เด็กมีทักษะและอ่านออก

เด็กต้องอ่านคำและรู้ความหมายของคำได้

อ่านจับใจความได้ เพราะหลังจากที่เด็กสามารถอ่านคำ วลี และประโยคได้แล้ว พวกเขาจะต้องอ่านเป็นคือเข้าใจในสิ่งที่อ่านและบอกได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เล่าเรื่องสรุปเรื่องได้

อ่านออกเสียงให้ชัดเจนและถูกต้อง โดยเฉพาะคำที่ออกเสียง ร ล ว คำควบกล้ำและคำที่มีอักษรนำ เด็ก ๆ ต้องรู้จังหวะในการอ่านให้ถูกวรรคตอน ฝึกฝนจนอ่านคล่อง

อ่านเพื่อต่อยอด และรู้จักอ่านเพื่อหาความรู้ ค้นคว้าความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ (ทักษะนี้เหมาะกับเด็กประถมฯ ปลายขึ้นไป)

ฝึกอ่านจนติดเป็นนิสัย เพื่อให้เด็กเป็นผู้รักการอ่าน สิ่งหนึ่งที่ครูจะต้องเสริมคือการจัดบรรยากาศในห้องเรียนหรือสร้างกิจกรรมออนไลน์ คอยหาหนังสือน่าสนใจมาเล่าให้เด็กฟังเพื่อกระตุ้นให้เด็กอยากอ่าน

เมื่อเป้าหมายชัดเจนแล้วก็มาดูเทคนิคที่เราจะใช้สอนเด็ก ๆ กันบ้าง เริ่มต้นจากการให้เด็กอ่านเป็นก่อน โดยเริ่มฝึกพื้นฐานการอ่านตั้งแต่อ่านพยัญชนะไทย สระ วรรณยุกต์ไปสู่การอ่านคำและประโยคได้ ซึ่งเราจะใช้วิธีการสอนควบคู่กับการใช้เทคนิคต่าง ๆ ดังนี้...

1.สอนด้วยการประสมอักษร
เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ เน้นการฟังเสียง ซึ่งวิธีนี้เป็นการสอนที่ใช้มานาน โดยการนำพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์มาประสมกัน แล้วฝึกอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ

การประสมคำโดยยึดพยัญชนะต้นเป็นหลัก ยึดสระเป็นหลัก และยึดตัวสะกดเป็นหลัก

2.สอนด้วยภาพ

สอนจากการให้เด็กเดาคำจากภาพหรือสอนอ่านจากภาพ โดยให้เด็กเริ่มจำรูปภาพก่อนแล้วค่อย ๆ ให้อ่านตัวอักษร

3.สอนอ่านจากรูปร่างของคำ
เมื่อเด็กเห็นรูปร่างภาพรวมของคำแล้ว พวกเขาจะนำไปเปรียบเทียบกับคำที่เคยอ่านออก ถ้าคำไหนมีรูปร่างคล้ายกับคำที่เคยอ่านผ่านตามา เด็กก็สามารถเดาได้ว่าอ่านอย่างไร ซึ่งการสอนด้วยเทคนิคนี้ครูจำเป็นต้องหาคำที่มีรูปร่างคล้ายกันชัดเจน เน้นให้เด็กฝึกสังเกตรูปร่างเพื่อการจดจำคำที่เร็วขึ้น

4.สอนด้วยเทคนิคการเดาคำจากบริบทหรือคำแวดล้อม
ครูอาจจะหากิจกรรมที่ให้เด็กเดาคำจากสิ่งรอบตัว เช่น กิจกรรมปริศนาคำทาย คือให้ครูสร้างคำปริศนาขึ้นมา 1 คำแล้วให้เด็กทายคำ

ตัวอย่างปริศนาคำทายที่ใช้สระอะ
ฉันเป็นผักสวนครัว เนื้อตัวเป็นตะปุ่มตะปำ แต่มีคุณค่าเลิศล้ำ คั้นเอาน้ำแม้ขมหน่อยอร่อยดี (มะระ)
ฉันเป็นของใช้ มีไว้ในครัว เอาไว้ผัดคั่ว ทั่ทุกบ้านต้องมี (กระทะ)

5.สอนด้วยเทคนิคหลักภาษาไทย
วิธีนี้เด็กจะเรียนรู้การอ่านจากหลักเกณฑ์ของภาษาเพื่อการอ่านเขียนตามหลักสูตรเป๊ะ! เช่น อักษร 3 หมู่ สระเสียงเดี่ยว สระเสียงประสม มาตราตัวสะกด การผันวรรณยุกต์ ฯลฯ จึงจำเป็นต้องสอดแทรกกิจกรรมที่สนุก เช่นร้องเพลง เล่น เกม เล่า นิทานก่อนเริ่มบทเรียน อย่าลืมว่าถ้ามีกิจกรรมที่ให้เด็กลงมือทำได้จริงก็จะช่วยให้พวกเขาพร้อมจะเรียนรู้และจดจำได้เร็วขึ้น

6.สอนอ่านตามครู
ครูส่วนใหญ่จะนิยมวิธีนี้เช่นกัน เพราะเป็นการสอนที่ง่าย แต่ควรใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อคำที่สอนนั้นเป็นคำที่ยาก สะกดแปลก หรือครูที่สอนด้วยเทคนิคต่าง ๆ แล้วเด็ก ๆ ก็ยังไม่เข้าใจก็สามารถใช้วิธีได้เช่นกัน

#ต่อยอดการอ่านด้วยเทคนิคการอ่านจับใจความ

เมื่อเด็กอ่านออกแล้วก็ควรให้เขาอ่านเป็นด้วย หมายถึงอ่านแล้วเด็กต้องรู้จักและเข้าใจความหมายไม่ว่าจะเป็นคำ วลี ประโยค ข้อความ ซึ่งการสอนอ่านจับใจความนั้นเป็นการฝึกอ่านในใจ และต้องฝึกการกวาดสายตา ต้องมีสมาธิในขณะที่อ่าน ฝึกอ่านทีละย่อหน้าและจับใจความ ครูต้องฝึกให้เด็กอ่านทุกย่อหน้าและต้องตั้งเป้าหมายว่าการอ่านจับใจความในครั้งนี้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เช่น อยากให้เด็กอ่านจับประเด็นได้หรืออ่านเพื่อตอบคำถามเป็น หรืออ่านเพื่อวิเคราะห์ได้ เป็นต้น

#เทคนิคการสอนให้ได้ทักษะการเขียน
สำหรับเด็กที่ไม่เคยมีพื้นฐานการเขียนมาก่อนครูอาจเริ่มต้นด้วย 3 วิธีนี้ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนการเขียน

1.จับดินสอถูกต้อง
เหตุผลหลักที่การจับดินสอให้ถูกวิธีมีความสำคัญก็เพราะถ้าจับถูกวิธีก็ลดอาการปวดมือ แถมยังได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก และยังเป็นการทำงานประสานกันระหว่างตา สมอง และมือ ซึ่งเป็นการส่งเสริมทักษะของร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ภาพการจับดินสอที่ถูกวิธี

สำหรับวิธีจับดินสอที่ถูกต้อง คือ ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับตัวดินสอ แล้วใช้นิ้วกลางเป็นฐานรอง จับแท่งดินสอโดยใช้น้ำหนักของนิ้วทั้ง 3 เท่ากัน ซึ่งสำหรับเด็กที่เพิ่งหัดจับดินสอครั้งแรกพวกเขาจะยังใช้น้ำหนักมือในการเขียนไม่ถูก เขียนเบาไปทำให้เส้นบาง มองไม่เห็น ถ้าลงน้ำหนักมือมากไปอาจทำให้ดินสอหักหรือกระดาษฉีกขาด ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีกับการเขียนและไม่อยากเขียนได้ ดังนั้นควรจับมือเขาเขียนก่อนเพื่อให้รู้น้ำหนักการเขียนที่พอดี แล้วค่อย ๆ ปล่อยให้ได้ลองเขียนเอง

2.นั่งถูกวิธี
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กได้ดี ต้องเริ่มให้เด็กนั่งให้ถูกวิธี เพราะถ้านั่งไม่ถูกต้องอาจทำให้เด็ก ๆ ปวดคอ ปวดหลังได้ สำหรับท่านั่งเขียนหนังสือที่ถูกต้อง คือ...

2.1 นั่งตัวตรง หันหน้าเข้าหาโต๊ะเรียนไม่ควรนั่งเอียง
2.2 แขนทั้ง 2 ข้างวางอยู่บนโต๊ะ
2.3 วางกระดาษให้ตรง มือที่ใช้เขียนต้องทำมุมให้เหมาะสมกับตัวอักษร ข้อศอกไม่กางออกหรือแนวลำตัวมากเกินไป
2.4 ใช้ฝ่ามือคว่ำลง มืองอทำมุม 45 องศากับข้อมือและจับดินสอให้พอเหมาะ
2.5 ขณะที่คัดลายมือ แขน มือ และนิ้วต้องเคลื่อนไหวให้สัมพันธ์กัน

3.การขีดเขียนเส้นพื้นฐาน
เมื่อเตรียมพร้อมด้านร่างกายแล้วก็เริ่มลากเส้นพื้นฐานกันก่อน ซึ่งมีทั้งหมด 13 เส้น ครูสามารถหากิจกรรมแบบฝึกหัดเพื่อให้เด็กได้ลองจับดินสอ และวางน้ำหนักมือจริงให้เด็กมีทักษะการเขียนเส้นพื้นฐานไปสู่การเขียนพยัญชนะไทย


เรียนรู้พื้นฐาน 13 เส้นสู่การคัดเขียนพยัญชนะไทยผ่านกิจกรรม
ขอบคุณภาพกิจกรรมจากแบบฝึกทักษะ ชุด ฝึกเขียน เรียนอ่าน คัดไทย

โดยต้องเน้นให้เด็กเขียนที่ต้นตัวพยัญชนะแล้วลากเส้นติดต่อกันไปจนจบที่ปลายพยัญชนะ ในการเขียนหัวพยัญชนะไทยต้องให้กลม มีเส้นเรียบสม่ำเสมอกัน นอกจากนั้นพยัญชนะไทยทั้ง 44 ตัว มีระดับความยากง่ายในการอ่านออกเสียงและการเขียนรูปพยัญชนะที่แตกต่างกัน ครูควรเลือกพยัญชนะที่ง่ายต่อการออกเสียงและเขียนรูปให้เด็กฝึกอ่าน ฝึกเขียนตามลำดับ

กิจกรรมนี้จะช่วยฝึกทบทวนการอ่านรูปและเสียงพยัญชนะไทยทั้ง 44 ตัว ว่าพวกเขาสามารถจดจำในการฝึกอ่านเขียนเบื้องต้นได้หรือไม่ โดยเริ่มจาก...

1.ขั้นนำ
ครูหาอุปกรณ์หรือสื่อ เช่น โปสเตอร์พยัญชนะไทย เพลงประกอบการสอนพยัญชนะไทย นิทาน มากระตุ้นการเรียนของเด็กด้วยการร้องและท่องพยัญชนะไทยไปพร้อมกัน

2.ขั้นสอน

ครูใช้โปสเตอร์ให้เด็กสังเกตรูปและสอนออกเสียงไปพร้อมกัน แล้วค่อย ๆ ให้อ่านเป็นรายบุคคล ครูต้องคอยหมั่นสังเกตความถูกต้องในการอ่านออกเสียงพยัญชนะของเด็ก ๆ ทุกครั้ง แล้วฝึกฝนและทบทวนอีกครั้งด้วยกิจกรรมในแบบฝึกหัด

3.ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปชื่อพยัญชนะทั้ง 44 ตัว โดยการอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ดังนี้

4.ขั้นประเมิน
สำหรับการวัดและประเมินผลว่าเด็กอ่านออกเขียนได้หรือไม่นั้น สามารถประเมินได้จากแบบฝึกหัดที่เด็กทำหรือใช้แบบวัดฯ เพื่อประเมินตามจุดประสงค์ประจำหน่วยนำมาวัดผลและพัฒนาเด็ก ๆ ต่อไป โดยกำหนดเป็น 3 รูปแบบคือ

แบบวัดตามจุดประสงค์ของหน่วยนั้น
วิธีการวัด
เกณฑ์การประเมิน
เริ่มต้นการสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้อย่างเป็นขั้นตอนผสานควบคู่ไปกับเทคนิคที่เพิ่มดีกรีให้เด็กเรียนรู้ได้สนุกมากขึ้นก็ทำให้การสอนที่อาจจะดูทางการเป็นการสอนที่สนุก มีประสิทธิภาพและได้ใจเด็ก ๆ อีกด้วย



เครดิตแหล่งข้อมูล :
aksorn


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์