กยศ.จ่อของบปี 67 เพิ่มหมื่นล้าน นำร่องปล่อยกู้หลักสูตรระยะสั้น
กยศ.จ่อของบปี 67 เพิ่มหมื่นล้าน นำร่องปล่อยกู้หลักสูตรระยะสั้น 5 หมื่นบ. ปลอดชำระหนี้ 2 ปี
เมื่อวันที่ 19 กันยายน นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการกองทุน กยศ.ได้มีมติอนุมัติขยายกรอบการให้กู้ยืมในปีการศึกษา 2566 จากเดิมที่กำหนดไว้ 4.07 หมื่นล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งวงเงินการปล่อยกู้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 13% เพื่อรองรับนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมจากเดิม 6.43 แสนราย เนื่องจากมีจำนวนผู้ยื่นขอกู้ยืมเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ประมาณการไว้กว่า 1.17 แสนราย
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า ซึ่งปัจจุบันกองทุนได้ให้โอกาสแก่นักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศไปแล้วทั้งสิ้น 6.5 ล้านราย เป็นเงินให้กู้ยืมกว่า 7.34 แสนล้านบาท ประกอบด้วย ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการศึกษา/ปลอดหนี้ 1.13 ล้านราย ผู้กู้ยืมที่ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว 1.81 ล้านราย ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ 3.54 ล้านราย และผู้กู้ยืมเสียชีวิต/ทุพพลภาพ 7.15 หมื่นราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566)นายชัยณรงค์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการรับชำระหนี้ในปีนี้ กองทุนได้รับชำระเงินคืนจำนวน 25,719 ล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากผู้กู้ได้รับผลกระทบจากโควิด และน้อยกว่าสัดส่วนที่จะในกู้ยืม ดังนั้น เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว กยศ.จึงได้เตรียมของบประมาณเพิ่ม 1 หมื่นล้านบาท
"กยศ.มีเงินหมุนเวียนอยู่หลายหมื่นล้านบาท กองทุนยังบริหารจัดการได้ ยืนยันว่า ที่เตรียมแผนของบประมาณเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท เป็นการทำไว้เพื่อสำรองสภาพคล่องในการปล่อยกู้ทางการศึกษา โดยตั้งแต่ปีงบ 2561 เป็นต้นมา กยศ.ไม่ได้ขอใช้งบประมาณจากรัฐบาลเลย เพราะใช้สภาพคล่องจากการบริหารทุนหมุนเวียนของเราเอง ขณะเดียวกัน ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา จนถึงปัจจุบัน กยศ.มีหนี้เสียอยู่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท จากยอดคงค้างทั้งหมด 4 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับวงเงินที่มีอยู่ เรียกได้ว่าแนวโน้มหนี้เสียลดลง" นายชัยณรงค์ กล่าว
นายชัยณรงค์ กล่าวอีกว่า หลังจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กยศ. ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ กยศ. ได้เปลี่ยนวิธีการในการตัดเงินชำระหนี้ผู้กู้ยืมใหม่ จากเดิมจะต้องหักค่าปรับก่อน แล้วค่อยมาตัดดอกเบี้ย และเงินต้นอันดับสุดท้าย แต่ขณะนี้จะตัดเงินต้นผู้กู้ยืมก่อน เพื่อลดภาระในการชำระหนี้ลง ขณะเดียวกัน ตลอดปีที่ผ่านมา กองทุนได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระของผู้กู้ยืมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กฎหมายที่ได้แก้ไขใหม่ได้กำหนดให้กองทุนคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อปี อัตราเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชำระไม่เกิน 0.5% ต่อปี ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันในทุกกรณี
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า รวมทั้ง กองทุนคาดว่าจะเปิดทำสัญญาระงับข้อพิพาทก่อนฟ้องและสัญญาปรับโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ก่อนฟ้องและหลังฟ้องทุกกลุ่มเข้ามาดำเนินการได้ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนกรณีนโยบายการเพิ่มทางเลือกให้ข้าราชการสามารถรับเงินเดือนได้ 2 งวดนั้น ไม่มีผลต่อระบบกองทุน กยศ. เพราะเชื่อว่ายังสามารถชำระหนี้ได้ปกติ อย่างไรก็ตาม ขอดูความชัดเจนเรื่องวิธีการกับกรมบัญชีกลางอีกครั้งหนึ่ง